ทำความรู้จัก … มะเร็งลำไส้

มะเร็งลำไส้และไส้ตรง (Colorectal cancer)

มะเร็งลำไส้และไส้ตรง (Colorectal cancer) เป็นมะเร็งที่จำนวนผู้ป่วยติดอยู่ในอันดับหนึ่งในสามและสามารถรักษาได้ เราจะทราบได้อย่างไรว่าเข้าข่าย มีความเสี่ยง ชวนให้สงสัยว่าเป็นมะเร็งลำไส้  ผู้เขียนจะเริ่มต้นนำเสนอเรื่องเล่าเหมือนเดิม เสมือนว่าผู้ป่วยได้เล่าเรื่องของตนเองที่ได้ทราบถึงความเจ็บป่วย เริ่มต้นเรื่องจาก ผู้ป่วยหญิงรายหนึ่งอายุประมาณ 50 ปี ไปรับประทานก๋วยเตี๋ยวเรือรสจัด แล้วนึกว่าตนเองปวดท้องจากอาหารรสจัดแต่ทนปวดอยู่นานประมาณ 3 วัน ปรากฏว่ามีการขับถ่ายอุจจาระที่ลำบากผิดปกติ เบ่งเท่าไหร่ก็ไม่ออก จากนั้นเมื่อมาห้องตรวจแพทย์ก็ให้เอ็กซ์เรย์ท้องทันทีหลังได้ฟังประวัติ และแจ้งผลกับคนไข้ว่า มีลำไส้อุดตัน ให้ผู้ป่วยไปทำซีทีสแกนช่องท้อง CT scan whole abdomen ต่อ และนัดให้มีการส่องกล้องลำไส้ทางทวารหนัก หรือ colonoscopy

ผู้ป่วยรู้สึกตกใจและสับสน เพราะเพียงขั้นตอนตรวจหาโรคก็ต้องเตรียมตัวหลายขั้นตอน เริ่มจากงดน้ำอาหาร 6 ชั่วโมงก่อนการทำซีทีสแกน มีการให้สารทึบรังสีทางสายน้ำเกลือและสวนลำไส้เพื่อดูบริเวณที่มีการอุดตันของลำไส้ เมื่อทำซีทีสแกนแล้วแพทย์จะสามารถแจ้งได้คร่าวๆว่าผู้ป่วยมีโอกาสที่จะเป็นมะเร็งลำไส้ได้หรือไม่และอาจจะสามารถแจ้งระยะของตัวโรคได้คร่าวๆ แต่ที่สำคัญที่สุดคือแพทย์อาจจะปรึกษาศัลยแพทย์เร่งด่วนเพื่อการผ่าตัดแก้ไขภาวะลำไส้อุดตันรวมไปถึงจะทำให้เราได้นำชิ้นเนื้อมาตรวจยืนยันว่าเป็นมะเร็งจริงและอาจนำมาส่งตรวจไปถึงระดับยีนเพื่อการรักษาแบบแม่นยำด้วย

ผู้ป่วยหญิงรายนี้หลังเผชิญกับความโชคร้ายที่เจอภาวะลำไส้อุดตันและผ่าตัดชิ้นเนื้อที่ได้รับการยืนยันว่าเป็นมะเร็ง แต่ความโชคดีในความโชคร้ายนี้คือผู้ป่วยรายนี้ได้รับการผ่าตัดเอาชิ้นเนื้อออกทั้งหมดและศัลยแพทย์ได้ตัดต่อมน้ำเหลืองไปตรวจ 12 ต่อมโดยที่ไม่พบมะเร็งกระจายไปที่ต่อมน้ำเหลือง หลังพักฟื้นได้ 3 วัน ผู้ป่วยก็ดีขึ้นและกลับบ้านได้และนัดมาตัดไหมดูแผลอีกสัปดาห์ถัดไป และศัลยแพทย์ได้ทำนัดไปพบคุณหมอมะเร็งหรืออายุแพทย์มะเร็ง ซึ่งเป็นเรื่องราวที่ผู้เขียนได้พบเจอกันผู้ป่วยท่านนี้ที่ปัจจุบันท่านได้รับยาเคมีบำบัดแบบรับประทานจนครบ 6 เดือน จนผ่านไป 3 ปี ท่านแข็งแรงดีหายขาดปราศจากโรคมะเร็ง เรียกได้ว่าหายขาดจากโรคมะเร็งเลยทีเดียวถ้าเป็นฝรั่ง เขาจะมีคำเรียกจำเพาะว่า cancer survivor หรือ ผู้ชนะมะเร็ง

ผู้เขียนขอกรอเทปย้อนกลับไปหรือถ้าเป็นยุคปัจจุบัน ขอกดย้อนไปคลิปตอนที่แรกเจอกับอายุรแพทย์มะเร็งซึ่งเป็นผู้แจ้งผลชิ้นเนื้อหรือแจ้งข่าวร้ายไปพร้อมกับแจ้งว่าหายขาดแล้วเป็นการเยียวยาทางใจในเวลาถัดกันเพียงไม่กี่นาที ซึ่งหากเป็นมะเร็งลำไส้ ไม่รวมไส้ตรงหรือทวารหนัก หลักๆแล้วการรักษาหากเป็นระยะเริ่มต้นหรือมีอาการฉุกเฉินการรักษาที่ต้องทำเป็นอันดับแรกคือการผ่าตัด และตามด้วยการให้ยาเคมีบำบัดหรือไม่นั้น ขึ้นกับระยะของโรคดังต่อไปนี้

ระยะที่หนึ่ง อาจตรวจพบจากอาการที่เกี่ยวข้องกับการขับถ่ายอุจจาระหรือเกิดจากการตรวจคัดกรองมะเร็ง และพบการลุกลามที่ไม่ลงลึกถึงระดับกล้ามเนื้อของลำไส้ หลังการผ่าตัดที่ถูกต้องตามหลักการผ่าตัดมะเร็ง ผู้ป่วยจะไม่ต้องรับยาเคมีบำบัดหลังการผ่าตัด เพราะถือว่าหายขาดแล้ว เพียงแต่ต้องมาตรวจติดตามนัดกับแพทย์อย่างเคร่งครัด

ระยะที่สอง แบ่งเป็นสองกรณีคือ ความเสี่ยงในการกลับเป็นซ้ำสูง เช่น มาด้วยอาการลำไส้อุดตันเช่นผู้ป่วยของหมอรายนี้ หรือผ่าออกมาแล้วชิ้นเนื้อดูหน้าตามีความน่าเกลียดมีการเปลี่ยนแปลงมาก เข้าสู้หลอดเลือดหรือหลอดน้ำเหลืองฝอย กรณีนี้จำเป็นต้องให้ยาเคมีบำบัดนานหกเดือนซึ่งเป็นแบบรับประทาน ชื่อ capecitabine และแบบฉีดชื่อยาว่า 5FU ให้ผู้ป่วยได้เลือก ซึ่งตัวยามีประสิทธิภาพที่เท่ากันการเลือกใช้ขึ้นกับความเหมาะสมของยากับตัวผู้ป่วยและผลข้างเคียงของยา แต่หากความเสี่ยงต่ำก็จะต้องตามดูอาการอย่างใกล้ชิดเหมือนระยะที่หนึ่ง หรือมีการตรวจยืนยันด้วยความเสถียรของพันธุกรรมหรือการส่งตรวจไมโครแซทเทิลไลท์ (microsatellite instability) ซึ่งถ้าไม่เสถียรก็ไม่จำเป็นต้องได้รับยาเคมีบำบัด

ระยะที่สาม ระยะเวลาความจริงแล้วมีเงื่อนไขเรื่องระยะเวลาในการให้ ระยะไฟลท์บังคับของยาเคมีบำบัดนานหกเดือนแต่หากเป็นระยะที่สามแบบความเสี่ยงต่ำ ก็มีทางเลือกในการให้ยาเหลือเพียงสามเดือนโดยที่ความเสี่ยงต้องต่ำจริงๆ เช่น อาการไม่มาก ชิ้นเนื้อหน้าตาไม่น่าเกลียด ส่วนปริมาณชนิดยาที่ให้ขึ้นกับอายุของผู้ป่วย ถ้าหากอายุเกิน 70 ปี แพทย์จะให้เคมีบำบัดชนิดเดียวเหมือนกับระยะที่สอง ยาที่ให้มักจะมีชื่อสูตรจากปากแพทย์ให้ได้ยินว่า FOLFOX หรือ CAPOX (อ่านว่าฟอลฟอกซ์ และแค้ปอ็อกซ์ตามลำดับ)

ระยะที่สี่ เป็นระยะที่ละเอียดอ่อนต้องอาศัยการประชุม การตรวจชิ้นเนื้อระดับพันธุกรรมเพื่อหาแผนการสำรองในการรักษา เพราะ  นอกจากการให้ยาเคมีบำบัดสองตัวยืนพื้นแล้ว การมียามุ่งเป้าเพิ่มมาจะเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา อาทิ หากตรวจพบ พันธุกรรมที่ไม่ดื้อต่อยาก็มีโอกาสให้ยามุ่งเป้าร่วมด้วยได้ ทั้งนี้ก็สามารถทำให้ผู้ป่วยได้มีแต้มต่อที่จะรอดจากมะเร็งได้นานขึ้น รวมถึงแต้มต่อที่อาจจะนำไปสู่การผ่าตัดที่ทำให้หายขาดจากโรคมะเร็งได้เลยทีเดียว ส่วนยาอื่นๆที่เป็นกลุ่มยาน้องใหม่ล่าสุดที่พึ่งได้รับการคิดค้นและได้รับรางวัลโนเบลเมื่อปี 2016 นั่นคือยาภูมิบำบัดหรือ Immunotherapy การส่งตรวจพันธุกรรมมะเร็งหรือการย้อมชิ้นเนื้อพิเศษเพิ่มเติมก็สามารถบอกได้ว่าผู้ป่วยมะเร็งระยะที่สี่มีทางเลือกอย่างอื่นนอกจากยาเคมีบำบัดหรือไม่

ผู้ป่วยที่ผู้เขียนนำมาเล่าให้ได้อ่านคือผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ระยะที่สองที่ได้รับยาเคมีบำบัด ซึ่งขณะที่ได้รับยาอยู่ ผู้เขียนต้องขอท้าให้ผู้คนที่เดินผ่านหรือร่วมงานกับผู้ป่วยว่าดูออกหรือไม่ว่านี่คือ ผู้ป่วยมะเร็งที่กำลังรับยาคมีบำบัด เพราะนอกจากยิ้มแย้มแจ่มใสคอยช่วยหมอประชาสัมพันธ์ให้คนในที่ทำงานไปคัดกรองโรคมะเร็งแล้ว เธอผู้นี้ยังดูเป็นหญิงสาวหัวหน้างานที่กระฉับกระเฉงผมไม่ร่วง ไม่ผอมหน้าตอบ ไม่มีอาการคลื่นไส้อาเจียนให้เห็น มาทำงานได้เป็นปกติ

สุดท้ายแล้ว ขอทิ้งท้ายอีกหนึ่ง คือ เรื่องการตรวจคัดกรองให้เริ่มได้เมื่ออายุ 50 ปี โดยการตรวจอุจจาระในการตรวจสุขภาพประจำปี หรือหากสมาชิกครอบครัวสายตรง เช่น บิดา มารดา พี่ น้อง ลูก มีประวัติเป็นมะเร็งลำไส้แล้วไซร้ ควรมีการคัดกรองด้วยการส่องกล้องด้วยอายุที่เร็วขึ้นกว่าที่สมาชิกครอบครัวเป็นมะเร็ง 10 ปี เช่น มารดาเป็นมะเร็งลำไส้ตอนอายุ 50 ปี บุตรควรตระหนักไว้และขอไปรับการรวจคัดกรองตั้งแต่อายุ 40 ปี เพราะบางครั้งการคัดกรองคือการเตรียมพร้อมและป้องกันภัยที่ไม่คาดคิดจากมะเร็งที่ก่อกำเนิดจากสภาพแวดล้อมที่กระตุ้นให้ร่างกายก่อโรคมะเร็งได้นั่นเอง

แหล่งที่มา: NCCN Guidelines for Patients: Colon Cancer

และขอขอบคุณข้อมูลจาก : พญ. ภานุช เอี่ยมประภาพร  อายุรแพทย์มะเร็ง