คลินิกสูติ-นรีเวช

คลินิกสูติ-นรีเวช
รวมทุกบริการสำหรับว่าที่คุณแม่และคุณผู้หญิง
นัดหมาย ปรึกษาแพทย์

ให้บริการด้านสุขภาพครบวงจรสำหรับสุภาพสตรี ตั้งแต่การวินิจฉัย ตรวจรักษาทางสูติ-นรีเวช ตรวจคัดกรองและวินิจฉัยโรคมะเร็งทางนรีเวช ผ่าตัดรักษาโรคทางนรีเวช การฝากครรภ์และการคลอด ที่มีแพคเกจคลอดเหมาจ่ายพร้อมให้บริการ รวมไปถึงการให้คำปรึกษาภาวะวัยทอง โดยทีมแพทย์สูติ-นรีเวชผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมให้คำแนะนำ มีประสบการณ์เพื่อสุขภาพที่ดีของผู้หญิงทุกคน

  

บริการของคลินิกสูติ-นรีเวช :

    1. การฝากครรภ์และการคลอดบุตร
    2. การดูแลรักษาการตั้งครรภ์ปกติ และการตั้งครรภ์ที่มีภาวะเสี่ยง
    3. ตรวจความสมบูรณ์ของทารกในครรภ์ ด้วยเครื่อง Ultrasound 4 มิติ
    4. คลินิกนมแม่
    5. ปรึกษาคุมกำเนิด
    6. ตรวจคัดกรองมะเร็งทางนรีเวช
    7. การรักษาโรคทางสูติ-นรีเวช และการผ่าตัดส่องกล้องทางนรีเวช
    8. การตรวจสุขภาพก่อนแต่งงาน หรือก่อนมีบุตร

 

การผ่าตัดมดลูกผ่านทางช่องคลอด

ผ่าตัดมดลูกผ่านทางช่องคลอด คืออะไร?

ผ่าตัดมดลูกผ่านทางช่องคลอดเป็นการผ่าตัดเพื่อนำมดลูกออกผ่านทางช่องคลอด โดยวิธีนี้สามารถลดระยะเวลาการอยู่โรงพยาบาล ค่าใช้จ่ายและหายได้ไวกว่าการผ่าตัดผ่านช่องท้อง หลังจากที่ผ่านำมดลูกออก ผู้ป่วยจะไม่สามารถตั้งครรภ์ได้อีก

ความจำเป็นในการผ่าตัดมดลูก 

การผ่าตัดมดลูกผ่านทางช่องคลอดจะกระทำเพื่อการรักษาปัญหาทางระบบการสืบพันธุ์ผู้หญิง ซึ่งอาจรวมถึง:

  • โรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (Endometriosis)
  • มะเร็งชนิดต่างๆ (รังไข่ มดลูก ปากมดลูก ท่อนำไข่)
  • เนื้องอกที่ไม่ใช่มะเร็ง (Fibroids)
  • อาการปวดท้องน้อยเรื้อรัง

ความเสี่ยง

โดยทั่วไปการผ่าตัดด้วยวิธีมีความปลอดภัย อย่างไรก็ตามการผ่าตัดทุกชนิดล้วนมีความเสี่ยง อาทิ เช่น:

  • เลือดออกปริมาณมาก
  • ความเสียหายต่อกระเพาะปัสสาวะหรือลำไส้
  • การติดเชื้อ
  • ปฏิกิริยาต่อยาสลบ
  • ลิ่มเลือดอุดตันที่ขาหรือปอด

การผ่าตัด

แพทย์ที่รักษาท่านจะประเมินหากท่านควรจะใช้การส่องกล้องหรือใช้หุ่นยนต์เพื่อในการผ่าตัดมดลูกผ่านทางช่องคลอด โดยขั้นตอนทั่วไปคือ:

  • การตัดเปิดข้างในช่องคลอด
  • เส้นเลือดมดลูกจะถูกบีบรัดและมดลูกจะถูกแยกจากเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน รังไข่และท่อนำไข่
  • มดลูกจะถูกนำออกมาผ่านช่องคลอดและใช้ไหมละลายเพื่อเย็บแผลข้างในท้องน้อย

 

เชื้อราในช่องคลอด

เชื้อราในช่องคลอดคืออะไร?

เชื้อราในช่องคลอดเป็นภาวะที่เกิดการติดเชื้อราโดยเชื้อยีสต์ที่ชื่อ Candida ซึ่งโดยปกติแล้วจะอาศัยอยู่ในร่างกายและบนผิวหนังของเรา ด้วยปัจจัยบางอย่างที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมภายในช่องคลอดทำให้เชื้อราเจริญเติบโตจนเกิดการติดเชื้อ การใช้ยารักษาเป็นวิธีที่ได้ผลการรักษาที่ค่อนข้างดีและควรให้แพทย์สูตินรีเวชเป็นผู้ปรับใช้ตามผู้ป่วยแต่ละรายไป

อาการแสดง

อาการของโรครวมถึง:

  • คันและระคายเคืองช่องคลอด
  • เจ็บและรู้สึกไม่สบายเมื่อมีเพศสัมพันธ์หรือปัสสาวะ
  • ผื่นขึ้นที่ช่องคลอด
  • มีของเหลวสีขาวข้นออกจากช่องคลอด
  • มีของเหลวใสออกจากช่องคลอด

เมื่อไหร่ควรพบแพทย์

หากท่านมีอาการหรือไม่สบายตัวที่อาจเข้าข่ายการติดเชื้อราในช่องคลอด ควรนัดแพทย์สูตินรีเวชเพื่อรับการตรวจรักษา

ปัจจัยเสี่ยง

  • ตั้งครรภ์
  • รับประทานยาคุมกำเนิดฮอร์โมนเอสโตรเจนขนาดสูงหรือการได้รับยาฮอร์โมนเอสโตรเจนทดแทน
  • การใช้ยาปฏิชีวนะ
  • โรคเบาหวานที่ไม่สามารถควบคุมได้
  • ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เช่นจากการติดเชื้อ HIV การใช้ยาสเตียรอยด์เป็นระยะเวลานาน การรับยาเคมีบำบัด

การรักษา

การรักษาด้วยการใช้ยาจะขึ้นอยู่กับความรุนแรงและความถี่ที่เกิดโรคนี้:

  • การใช้ยาฆ่าเชื้อราในรูปแบบต่างๆเช่น ครีม ขี้ผึ้ง ยาเม็ดและยาเหน็บ ตามที่แพทย์สั่ง
  • การรับประทานยา fluconazole ครั้งเดียว

 

เลือดออกทางช่องคลอด

อาการเลือดออกทางช่องคลอดคืออะไร?

อาการเลือดออกทางช่องคลอดอาจหมายรวมถึงการเลือดออกตามปกติของรอบประจำเดือนหรือการเลือดออกที่ไม่เกี่ยวข้องกับประจำเดือน บทความนี้จะเน้นไปที่การเลือดออกทางช่องคลอดที่ผิดปกติซึ่งอาจเกิดเมื่อไหร่ก็ได้และพร้อมกับอาการอื่นๆเช่นอาการปวด ทั้งนี้การเลือดออกที่ไม่ได้เป็นตามรอบประจำเดือนอาจเกิดขึ้นได้บางครั้งและอาจไม่ใช่อาการที่ต้องรักษาแต่อย่างไรก็ตาม หากมีข้อสงสัยควรปรึกษาแพทย์สูตินรีเวชเพื่อรับการวินิจฉัยที่ถูกต้องอีกครั้ง

เมื่อไหร่ควรพบแพทย์

สำหรับผู้หญิงตั้งครรภ์หากเกิดอาการเลือดออกให้ติดต่อแพทย์เจ้าของไข้ทันทีและหรือติดต่อเข้ามารับการรักษาที่โรงพยาบาลทันทีแม้ว่าจะเกิดขึ้นกลางดึกเนื่องจากอาจเป็นสัญญานอันตราย โดยทั่วไปแล้วส่วนใหญ่การเลือดออกจะไม่อันตรายถึงชีวิต ควรปรึกษาแพทย์สูตินรีเวชหากมีข้อสงสัยและมีอาการเช่น:

  • รอบประจำเดือนที่เปลี่ยนไปและหรือปริมาณเลือดที่ต่างจากเดิมอย่างสังเกตุได้
  • เลือดออกหลังการเริ่มใช้ยาใหม่หรือการใช้ยาฮอร์โมน
  • เลือดออกพร้อมอาการปวดรุนแรง
  • เด็กผู้หญิงที่มีเลือดออกทางช่องคลอดแม้ว่ายังไม่เข้าช่วงวัยแรกรุ่น
  • เด็กทารกผู้หญิงที่มีเลือดออกมากผิดปกติและเป็นระยะเวลานาน
  • การเลือดออกหลังมีเพศสัมพันธ์

สาเหตุ

การเลือดออกทางช่องคลอดที่ผิดปกติอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ ยกตัวอย่างเช่น:

  • มะเร็งระบบสืบพันธุ์เพศหญิง
  • มะเร็งปากมดลูก
  • มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก (มะเร็งมดลูก)
  • มะเร็งรังไข่
  • มะเร็งมดลูกชนิด sarcoma
  • มะเร็งช่องคลอด
  • โรคต่อมไทรอยด์เป็นพิษหรือทำงานต่ำ
  • ภาวะเลือดออกผิดปกติ
  • ภาวะเกร็ดเลือดต่ำ
  • Von Willebrand disease
  • Hemophilia
  • ผลข้างเคียงจากยาป้องกันการแข็งตัวของเลือด (anticoagulant)
  • ภาวะแทรกซ้อนจากการตั้งครรภ์
  • การตั้งครรภ์นอกมดลูก
  • การแท้งลูกหรือแท้งคุกคาม
  • การคลอดก่อนกำหนด
  • ภาวะรกลอกตัวก่อนกำหนด
  • การติดเชื้อในช่องท้อง กระเพาะปัสสาวะหรือติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์
  • การตรวจชิ้นเนื้อปากมดลูกหรือเยื่อบุโพรงมดลูกจากการตรวจสุขภาพ
  • การใช้ยาฮอร์โมนทดแทนสำหรับวัยหมดประจำเดือน
  • การใช้ยาคุมกำเนิดฮอร์โมน
  • Polycystic ovary syndrome
  • ความเครียด

 

การบาดเจ็บหรือถูกคุกคามทางเพศ

การรักษา

การรักษาอาจเป็นการใช้ยาหรือผ่าตัดโดยขึ้นอยู่กับสาเหตุของการเกิดอาการเลือดออก การใช้ยาอาจรวมถึง:

  • ยาแก้อักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (Non-steroidal anti-inflammatory drugs) เช่น Ibuprofen และ mefenamic acid เพื่อช่วยควบคุมการเลือดออกที่มาก
  • Tranexamic acid เพื่อหยุดเลือดปริมาณมากจากรอบประจำเดือน
  • ยาปฏิชีวนะ
  • ยาคุมกำเนิดฮอร์โมน
  • ห่วงคุมกำเนิด

 

โรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่

โรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่คืออะไร

โรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (Endometriosis) คือภาวะที่เนื้อเยื่อที่คล้ายผนังของมดลูกเจริญเติบโตในที่อื่นเช่นรังไข่ ท่อนำไข่ เชิงกราน และด้วยภาวะดังกล่าวเนื้อเยื่อนี้จะทำหน้าที่เหมือนเยื่อบุโพรงมดลูกในแต่ละรอบประจำเดือนโดยเนื้อเยื่อจะหนาตัวและท้ายที่สุดจะลอกออกมาเป็นเลือดเหมือนประจำเดือนแต่ตัวเนื้อเยื่อดังกล่าวจะถูกขังอยู่ในจุดที่เจริญผิดที่และเนื้อเยื่อโดยรอบบริเวณนั้นจะเกิดการระคายเคืองและทำให้มีอาการปวดในที่สุด

เมื่อไหร่ควรพบแพทย์

หากท่านมีปัญหาจากการปวดท้องประจำเดือนมากกว่าปกติและอาจเข้าข่ายโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ ควรนัดแพทย์สูตินรีเวลเพื่อรับการวินิจฉัยและวางแผนเพื่อรักษาแต่เนิ่นๆซึ่งจะมีประสิทธิภาพในระยะยาว

ความเสี่ยง

  • การมีรอบประจำเดือนไวกว่าปกติ
  • ไม่เคยคลอดบุตร
  • รอบประจำเดือนสั้น
  • อายุที่เกิดวัยหมดประจำเดือนช้า
  • ประวัติครอบครัว
  • เคยได้รับฮอร์โมนเอสโตรเจนประมาณสูงในชีวิต

อาการแสดง

อาการแสดงอาจไม่เฉพาะเจาะจงต่อโรคและยากต่อการแยกโรค โดยผู้ป่วยโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่มักให้ประวัติว่ามีอาการปวดอย่างรุนแรงมากกว่ารอบประจำเดือนปกติ อาการอาจรวมถึง:

  • ปวดประจำเดือนรุนแรง
  • ปวดเมื่อปัสสาวะและเมื่อมีเพศสัมพันธ์
  • มีเลือดออกปริมาณมากกว่าปกติ
  • มีบุตรยาก
  • รู้สึกไม่สบาย ท้องผูก และท้องเสียช่วงรอบประจำเดือน

การรักษา

  • ยาลดอาการปวด ใช้เป็นยารักษาตามอาการเมื่อจำเป็นเช่นยากลุ่ม ยาแก้อักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (Non-steroidal anti-inflammatory drugs)
  • การรักษาด้วยฮอร์โมน เช่น การใช้ยาฮอร์โมนคุมกำเนิด ยากลุ่ม gonadotrophin-releasing hormone (GnRH) analogues และ aromatase inhibitors
  • การผ่าตัดแบบ Conservative surgery เพื่อตัดส่วนเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่
  • การผ่าตัดเพื่อตัดมดลูก (hysterectomy) และรังไข่ออกซึ่งต้องพิจารณาและตัดสินใจอย่างถี่ถ้วนโดยคำนึงถึงความเสี่ยงและประโยชน์

 

วัยหมดประจำเดือน

วัยหมดประจำเดือนคืออะไร

วัยหมดประจำเดือน (Menopause) คือช่วงเวลาที่ประจำเดือนของผู้หญิงหมดลงโดยการวินิจฉัยจะนับว่าเป็นวัยหมดประจำเดือนเมื่อไม่มีประจำเดือนมาครบ 12 เดือน ทั้งนี้เป็นกระบวนการทางธรรมชาติเมื่อมีอายุมากขึ้นและนับว่าเป็นที่สิ้นสุดของวัยเจริญพันธุ์

ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสโตรเจนมีการเปลี่ยนแปลงจึงทำให้ผู้ป่วยเกิดอาการต่างๆเช่นการร้อนวูบวาบและช่องคลอดแห้ง ภาวะแทรกซ้อนที่อาจตามมาภายหลังรวมถึงโรคหลอดเลือดและหัวใจ กิจกรรมเพศสัมพันธ์ที่เปลี่ยนไปจากอาการช่องคลอดแห้ง การกลั้นปัสสาวะลำบาก กระดูกพรุนและน้ำหนักขึ้น

เมื่อไหร่ควรพบแพทย์

หากท่านมีอาการใดๆดังกล่าวและคิดว่ากำลังเข้าข่ายวัยหมดประจเดือน ท่านควรนัดพบแพทย์สูตินรีเวชเพื่อรักษาอาการในปัจจุบันและวางแผนการตรวจคัดกรองโรคต่างๆซึ่งแต่ละคนอาจมีความเป็นที่ไม่เหมือนกัน ทั้งนี้เพื่อที่จะส่งเสริมให้มีสุขภาพดีในองค์รวม

การรักษา

วัยหมดประจำเดือนอาจไม่จำเป็นต้องได้รับการรักษาใดๆ หากทำการรักษาจะเป็นการช่วยบรรเทาอาการต่างๆ ป้องกันหรือจัดการภาวะแทรกซ้อนต่างๆ โดยการรักษาแบ่งออกเป็นสองแบบคือการรักษาด้วยฮอร์โมนและการรักษาที่มิใช่ฮอร์โมนซึ่งจะใช้ตามความจำเป็นของผู้ป่วยแต่ละราย

การรักษาด้วยฮอร์โมน (Hormonal Therapy) – มีสองประเภทขึ้นอยู่กับว่ายังมีมดลูกอยู่หรือได้ทำการตัดมดลูกไปแล้วหรือไม่ (hysterectomy)

  • Estrogen therapy – การใช้เอสโตรเจนโดสต่ำในรูปแบบต่างๆขึ้นอยู่กับความจำเป็นของแต่ละราย โดยมุ่งเน้นเพื่อบรรเทาอาการจากวัยหมดประจำเดือนและป้องกันโรคกระดูกพรุน ซึ่งเหมาะกับผู้ป่วยที่เคยผ่าตัดมดลูกออก (hysterectomy)
  • Estrogen Progesterone/Progestin Hormone Therapy (EPT) หรือ combination therapy เหมาะกับผู้ป่วยที่ยังมีมดลูกอยู่โดยโปรเจนเตอโรนจะลดความเสี่ยงการเกิดมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกจากการใช้ hormonal therapy เนื่องจากการใช้เอสโตรเจนเดี่ยวในผู้ป่วยที่ยังมีมดลูกอยู่อาจเพิ่มความเสี่ยงการเกิดมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก
  • เอสโตรเจนในรูปแบบครีม เม็ดหรือวงแหวนใช้สำหรับช่องคลอดโดยตรง เพื่อลดอาการช่องคลอดแห้ง

การรักษาที่มิใช่ฮอร์โมน (Non-Hormonal Therapy) – ใช้สำหรับผู้ป่วยที่ไม่สามารถใช้ยาฮอร์โมนได้และช่วยในการลดอาการต่างๆได้

  • ยาต้านซึมเศร้าขนาดต่ำเพื่อลดอาการร้อนวูบวาบและความผิดปกติทางอารมณ์
  • Gabapentin – ช่วยลดอาการร้อนวูบสาบและมักจะได้ผลดีในผู้ป่วยที่นอนหลับยาก
  • Clonidine – ช่วยลดอาการร้อนวูบวาบ
  • ป้องกันและรักษาโรคกระดูกพรุน (โปรดดูบทความโรคกระดูกพรุน)

สาเหตุ

  • อายุที่มากขึ้นตามธรรมชาติ
  • ผ่าตัดนำรังไข่ออก (Oophorectomy)
  • การได้รับยาเคมีบำบัดหรือรังสีรักษา
  • หมดประจำเดือนก่อนวันอันควร (ก่อนอายุ 40)

อาการแสดง

อาการอาจเกิดเมื่อท่านกำลังเข้าสู่ช่วงหมดประจำเดือน (perimenopause) ซึ่งอาจพบอาการบางอย่างหรือทั้งหมดดังนี้

  • ร้อนวูบวาบ
  • ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ
  • ปัญหาการนอนหลับ
  • เหงื่อออกตอนกลางคืน
  • การเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์
  • ช่องคลอดแห้ง
  • กลั้นปัสสาวะไม่อยู่
  • น้ำหนักขึ้น
  • ผมร่วงหรือบางลง
  • ผิวแห้ง

 

มะเร็งปากมดลูก

มะเร็งปากมดลูก

มดลูกเป็นอวัยวะในอุ้งเชิงกรานสตรี เป็นที่สำหรับการเจริญเติบโตของตัวอ่อน หรือทารกนั่นเอง ส่วนล่างสุดของมดลูกที่เชื่อมต่อกับช่องคลอด เรียกว่า “ปากมดลูก” (cervix)

มะเร็งปากมดลูก (Cervical Cancer) เป็นมะเร็งที่เกิดขึ้นมากเป็นอันดับ 2 ในสตรี ส่วนใหญ่ในระยะเริ่มแรก มักจะไม่ค่อยมีอาการ หรืออาจจะมีอาการเพียงเล็กน้อย เช่น ตกขาวผิดปกติ มีเลือดปน หรือมีเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด เช่น ออกแบบกะปริบกะปรอย หรือเลือดออกหลังจากมีเพศสัมพันธ์ เป็นต้น

การตรวจและการวินิจฉัย

    1. การตรวจ Pap Smear ใช้เพื่อค้นหาความผิดปกติของเซลล์ปากมดลูก
    2. การตรวจ HPV เพื่อตรวจหาการติดเชื้อ HPV
    3. การตรวจพิเศษ เช่น การทำ Biopsy ในกรณีที่พบรอยโรคชัดเจน หรือการตรวจ Imaging เช่น MRI หรือ CT Scan

สาเหตุและปัจจัยเสี่ยง

  1. การติดเชื้อ HPV ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของมะเร็งปากมดลูก: มีความสัมพันธ์กับ การมีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุยังน้อย, การมีคู่นอนหลายคน, การไม่ใช้ถุงยางอนามัย
  2. ระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอ เช่น การติดเชื้อ HIV
  3. การสูบบุหรี่
  4. ประวัติครอบครัวที่มีมะเร็งปากมดลูก

อาการ

ในระยะแรกๆ อาจไม่มีอาการชัดเจน แต่เมื่อมะเร็งเริ่มโตขึ้น อาจพบอาการ เช่น

  1. เลือดออกจากช่องคลอด ระหว่างรอบเดือนหรือหลังมีเพศสัมพันธ์
  2. ตกขาวมากผิดปกติ อาจมีสีหรือกลิ่นผิดปกติ
  3. ปวดในบริเวณเชิงกราน หรือปวดหลัง
  4. ปัสสาวะผิดปกติ หรืออาการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

 

 

การรักษา : 

การรักษา เชื้อราในช่องคลอด

การรักษาด้วยการใช้ยาจะขึ้นอยู่กับความรุนแรงและความถี่ที่เกิดโรคนี้:

  • การใช้ยาฆ่าเชื้อราในรูปแบบต่างๆเช่น ครีม ขี้ผึ้ง ยาเม็ดและยาเหน็บ ตามที่แพทย์สั่ง
  • การรับประทานยา fluconazole ครั้งเดียว

 

ผ่าตัดมดลูกผ่านทางช่องคลอด

การผ่าตัดมดลูกผ่านทางช่องคลอดคืออะไร

ผ่าตัดมดลูกผ่านทางช่องคลอดเป็นการผ่าตัดเพื่อนำมดลูกออกผ่านทางช่องคลอด โดยวิธีนี้สามารถลดระยะเวลาการอยู่โรงพยาบาล ค่าใช้จ่ายและหายได้ไวกว่าการผ่าตัดผ่านช่องท้อง หลังจากที่ผ่านำมดลูกออก ผู้ป่วยจะไม่สามารถตั้งครรภ์ได้อีก

ความจำเป็นในการผ่าตัดมดลูก

การผ่าตัดมดลูกผ่านทางช่องคลอดจะกระทำเพื่อการรักษาปัญหาทางระบบการสืบพันธุ์ผู้หญิง ซึ่งอาจรวมถึง:

  • โรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (Endometriosis)
  • มะเร็งชนิดต่างๆ (รังไข่ มดลูก ปากมดลูก ท่อนำไข่)
  • เนื้องอกที่ไม่ใช่มะเร็ง (Fibroids)
  • อาการปวดท้องน้อยเรื้อรัง

ความเสี่ยง

โดยทั่วไปการผ่าตัดด้วยวิธีมีความปลอดภัย อย่างไรก็ตามการผ่าตัดทุกชนิดล้วนมีความเสี่ยง อาทิ เช่น:

  • เลือดออกปริมาณมาก
  • ความเสียหายต่อกระเพาะปัสสาวะหรือลำไส้
  • การติดเชื้อ
  • ปฏิกิริยาต่อยาสลบ
  • ลิ่มเลือดอุดตันที่ขาหรือปอด

การผ่าตัด

แพทย์ที่รักษาท่านจะประเมินหากท่านควรจะใช้การส่องกล้องหรือใช้หุ่นยนต์เพื่อในการผ่าตัดมดลูกผ่านทางช่องคลอด โดยขั้นตอนทั่วไปคือ:

  • การตัดเปิดข้างในช่องคลอด
  • เส้นเลือดมดลูกจะถูกบีบรัดและมดลูกจะถูกแยกจากเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน รังไข่และท่อนำไข่
  • มดลูกจะถูกนำออกมาผ่านช่องคลอดและใช้ไหมละลายเพื่อเย็บแผลข้างในท้องน้อย

การรักษาเลือดออกทางช่องคลอด

การรักษาอาจเป็นการใช้ยาหรือผ่าตัดโดยขึ้นอยู่กับสาเหตุของการเกิดอาการเลือดออก การใช้ยาอาจรวมถึง:

  • ยาแก้อักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (Non-steroidal anti-inflammatory drugs) เช่น Ibuprofen และ mefenamic acid เพื่อช่วยควบคุมการเลือดออกที่มาก
  • Tranexamic acid เพื่อหยุดเลือดปริมาณมากจากรอบประจำเดือน
  • ยาปฏิชีวนะ
  • ยาคุมกำเนิดฮอร์โมน
  • ห่วงคุมกำเนิด

การรักษาวัยหมดประจำเดือน

วัยหมดประจำเดือนอาจไม่จำเป็นต้องได้รับการรักษาใดๆ หากทำการรักษาจะเป็นการช่วยบรรเทาอาการต่างๆ ป้องกันหรือจัดการภาวะแทรกซ้อนต่างๆ โดยการรักษาแบ่งออกเป็นสองแบบคือการรักษาด้วยฮอร์โมนและการรักษาที่มิใช่ฮอร์โมนซึ่งจะใช้ตามความจำเป็นของผู้ป่วยแต่ละราย

การรักษาด้วยฮอร์โมน (Hormonal Therapy) – มีสองประเภทขึ้นอยู่กับว่ายังมีมดลูกอยู่หรือได้ทำการตัดมดลูกไปแล้วหรือไม่ (hysterectomy)

  • Estrogen therapy – การใช้เอสโตรเจนโดสต่ำในรูปแบบต่างๆขึ้นอยู่กับความจำเป็นของแต่ละราย โดยมุ่งเน้นเพื่อบรรเทาอาการจากวัยหมดประจำเดือนและป้องกันโรคกระดูกพรุน ซึ่งเหมาะกับผู้ป่วยที่เคยผ่าตัดมดลูกออก (hysterectomy)
  • Estrogen Progesterone/Progestin Hormone Therapy (EPT) หรือ combination therapy เหมาะกับผู้ป่วยที่ยังมีมดลูกอยู่โดยโปรเจนเตอโรนจะลดความเสี่ยงการเกิดมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกจากการใช้ hormonal therapy เนื่องจากการใช้เอสโตรเจนเดี่ยวในผู้ป่วยที่ยังมีมดลูกอยู่อาจเพิ่มความเสี่ยงการเกิดมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก
  • เอสโตรเจนในรูปแบบครีม เม็ดหรือวงแหวนใช้สำหรับช่องคลอดโดยตรง เพื่อลดอาการช่องคลอดแห้ง
  • การรักษาที่มิใช่ฮอร์โมน (Non-Hormonal Therapy) – ใช้สำหรับผู้ป่วยที่ไม่สามารถใช้ยาฮอร์โมนได้และช่วยในการลดอาการต่างๆได้
  • ยาต้านซึมเศร้าขนาดต่ำเพื่อลดอาการร้อนวูบวาบและความผิดปกติทางอารมณ์
  • Gabapentin – ช่วยลดอาการร้อนวูบสาบและมักจะได้ผลดีในผู้ป่วยที่นอนหลับยาก
  • Clonidine – ช่วยลดอาการร้อนวูบวาบ
  • ป้องกันและรักษาโรคกระดูกพรุน (โปรดดูบทความโรคกระดูกพรุน)

การรักษา มะเร็งปากมดลูก

การรักษาขึ้นอยู่กับระยะของมะเร็งและสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย การรักษามีดังนี้

    1. การผ่าตัด เช่น การผ่าตัดคว้านเอาปากมดลูกออก Conization (cone biopsy), LEEP (loop electrosurgical excision procedure), การตัดมดลูกออกแบบกว้าง (Radical Hysterectomy)
    2. การรักษาด้วยรังสี (Radiotherapy)
    3. การรักษาด้วยเคมีบำบัด (Chemotherapy)
    4. การรักษาด้วยการรักษาด้วยยารักษามะเร็งแบบเฉพาะเจาะจง (Targeted Therapy) โดยอาจมีการใช้หลายวิธีผสมผสานกัน

การแบ่งระยะของมะเร็งปากมดลูก

เป็นกระบวนการที่สำคัญในการกำหนดวิธีการรักษาและการคาดการณ์ผลลัพธ์ โดยทั่วไปใช้ระบบการจัดระยะตามที่องค์การสากล (FIGO staging system) ที่แบ่งมะเร็งออกเป็นระยะ ดังนี้

ระยะที่ 0 (Carcinoma in Situ)
เซลล์มะเร็งอยู่ในชั้นนอกของปากมดลูกเท่านั้นและยังไม่ได้ลุกลามไปยังชั้นลึกหรือเนื้อเยื่ออื่น ๆ

ระยะที่ I
ระยะ I A  มะเร็งมีการลุกลามเฉพาะในเนื้อเยื่อปากมดลูกเท่านั้น และมีความลึกไม่เกิน 5 มม. และมีขนาดที่ไม่เกิน 7 มม.
ระยะ I B  มะเร็งเริ่มลุกลามไปยังเนื้อเยื่อภายในปากมดลูกลึกขึ้น และมีการลุกลามที่ชัดเจนมากกว่า

ระยะที่ II
ระยะ II A  มะเร็งลุกลามออกไปยังส่วนบนของช่องคลอด แต่ยังไม่ลุกลามไปยังเนื้อเยื่อบริเวณอื่น
ระยะ II B  มะเร็งเริ่มลุกลามไปยังเนื้อเยื่อรอบๆ ปากมดลูก เช่น เนื้อเยื่อเชิงกราน

ระยะที่ III
ระยะ III A  มะเร็งลุกลามไปยังส่วนล่างของช่องคลอด และ/หรืออาจมีการลุกลามไปยังเนื้อเยื่อที่อยู่ใกล้เคียง
ระยะ III B  มะเร็งลุกลามไปยังเนื้อเยื่อรอบๆ และอาจลุกลามไปยังท่อปัสสาวะหรือลำไส้ใกล้เคียง

ระยะที่ IV
ระยะ IV A  มะเร็งลุกลามไปยังเนื้อเยื่อที่อยู่ไกลออกไป เช่น ลำไส้ใหญ่หรือกระเพาะปัสสาวะ และ/หรืออาจมีการกระจายไปยังอวัยวะอื่น
ระยะ IV B  มะเร็งมีการกระจายไปยังอวัยวะที่อยู่ห่างไกลจากบริเวณต้นกำเนิด เช่น ปอดหรือกระดูก

การวินิจฉัยระยะของมะเร็งปากมดลูกจะขึ้นอยู่กับการตรวจร่างกาย, การตรวจภาพถ่ายทางการแพทย์, และการตรวจชิ้นเนื้อเพื่อกำหนดขอบเขตและการลุกลามของมะเร็ง การแบ่งระยะจะช่วยให้แพทย์สามารถเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมที่สุด

การป้องกัน

    1. การฉีดวัคซีน HPV เพื่อลดความเสี่ยงของการติดเชื้อ HPV
    2. การตรวจ Pap Smear ตามคำแนะนำของแพทย์
    3. การมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย ใช้ถุงยางอนามัยเพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ HPV 

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม

ที่ตั้ง
คลินิกสูติ-นรีเวช
ชั้น 4 โรงพยาบาลธนบุรีบำรุงเมือง
เปิดให้บริการทุกวัน เวลา 08:00 – 17:00 น.
phone_number
02 220 7999 ต่อ 84000 , 84001
คลินิกสูติ-นรีเวช
รวมทุกบริการสำหรับว่าที่คุณแม่และคุณผู้หญิง
นัดหมาย ปรึกษาแพทย์