ศูนย์จักษุ

ศูนย์จักษุ
ศูนย์จักษุ โรงพยาบาลธนบุรีบำรุงเมืองให้บริการตรวจวินิจฉัยโรคและความผิดปกติของดวงตาทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ โดยครอบคลุมไปถึงการรักษาและการผ่าตัดในรายที่มีความซับซ้อน ด้วยทีมแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านจักษุ พร้อมเครื่องมือที่ทันสมัย และบุคลากรทางการแพทย์ที่ได้รับการฝึกอบรมเพื่อการดูแลผู้ป่วยอย่างมีประสิทธิภาพด้วยความมุ่งมั่นมีมาตรฐานเพื่อประโยชน์สูงสุดต่อผู้ป่วย
เครื่องมือและเทคโนโลยี
เครื่องตรวจวิเคราะห์ภาพตัดขวางขั้วประสาทตาด้วยเลเซอร์ (Optical Coherence Tomography)
เครื่องตรวจวิเคราะห์ภาพตัดขวางขั้วประสาทตาด้วยเลเซอร์ หรือ OCT เป็นเครื่องมือที่ใช้ถ่ายภาพจอประสาทตาเพื่อประเมินลักษณะของจอตา โครงสร้างของขั้วประสาทตา และเส้นใยประสาทตา ช่วยในการวินิจฉัยและติดตามการดำเนินไปของโรคจอตา โรคต้อหิน และความผิดปกติอื่น ๆ ของเส้นประสาทตาและจุดรวมภาพ
ในการตรวจวินิจฉัย เครื่องจะทำการถ่ายภาพประสาทตาโดยใช้แสงเลเซอร์พลังงานต่ำในลักษณะภาพตัดขวาง 3 มิติ ทำให้จักษุแพทย์สามารถตรวจความหนาของชั้นจอประสาทตาและพยาธิสภาพของจอประสาทตาได้ การตรวจวินิจฉัยโรคตาด้วยเครื่องตรวจวิเคราะห์ภาพตัดขวางขั้วประสาทตาด้วยเลเซอร์ สามารถตรวจวินิจฉัยโรคตา ดังต่อไปนี้
- โรคต้อหิน (Glaucoma): เป็นโรคตาซึ่งผู้ป่วยมักจะไม่ทราบโดยผู้ที่มีความเสี่ยงได้แก่ ผู้ที่มีอายุมากกว่า 40 ปี ผู้ที่มีการอักเสบเรื้อรังในม่านตา และมีประวัติคนในครอบครัวเป็นต้อหิน
- โรคจอประสาทตาเสื่อมจากอายุ (Age-related macular degeneration): พบได้บ่อยในผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไปเป็นสาเหตุที่สำคัญของการสูญเสียการมองเห็น พบอุบัติการณ์มากขึ้นตามอายุ
- โรคจอประสาทตาจากโรคเบาหวาน (Diabetes-related retinopathy): เป็นสาเหตุสำคัญของปัญหาการมองเห็น และการสูญเสียการมองเห็น เกิดจากภาวะน้ำตาลในเลือดสูงเป็นเวลานานส่งผลให้เกิดความผิดปกติของหลอดเลือดฝอยที่จอประสาทตานำไปสู่ความผิดปกติอื่นๆ ตามมา
- ภาวะพังผืดที่จอประสาทตาและจุดรับภาพ (Epiretinal membrane or Macular pucker): เป็นภาวะที่มีพังผืดชนิดเกิดขึ้นบนชั้นผิวของจอประสาทตาโดยพังผืดนี้อาจมีการขยายตัว ดึงรั้งผิวจอตาบริเวณรอบๆ ทำให้เกิดความผิดปกติในการมองเห็นโดยเฉพาะบริเวณจอตาส่วนกลาง (Macula)
- โรคจุดรับภาพบวม (Cystoid macular edema): เป็นภาวะแทรกซ้อนจากภาวะต่างๆ เช่น เบาหวาน หลอดเลือดดำที่จอประสาทตาอุดตัน
- โรคจุดรับภาพเป็นรูหรือฉีกขาด (Macular hole or detachment): เกิดจากการเสื่อมของน้ำวุ้นตา เมื่ออายุมากขึ้นวุ้นตาอาจหดตัว ดึงรั้งจอตาเกิดเป็นรูหรือรอยฉีกขาด ส่งผลกระทบต่อการมองเห็น
บริการทางการแพทย์
ศูนย์จักษุ โรงพยาบาลธนบุรีบำรุงเมือง ตรวจวินิจฉัยและรักษาโรคทางตา อาทิ
- การตรวจวัดสายตา
- การตรวจรักษาโรคตาทั่วไป อาทิ ต้อกระจก ต้อหิน จอประสาทตา ม่านตาอักเสบ ฯ
- การตรวจรักษาโรคตาในเด็ก
- การตรวจคัดกรองและความผิดปกติของดวงตาและการมองเห็น
- ตรวจประเมินและรักษาภาวะเบาหวานขึ้นจอประสาทตา
- การฉีดยาเข้าวุ้นตารักษาโรคทางจอประสาทตา
- การผ่าตัดรักษาต้อหิน
- การผ่าตัดต้อเนื้อ
- การผ่าตัดต้อกระจกและเปลี่ยนเลนส์แก้วตาเทียมด้วยเครื่องด้วยเครื่องอัลตราซาวด์ความถี่สูง (Phacoemulsification)
- การผ่าตัดรักษาภาวะสายตาผิดปกติด้วยเทคโนโลยี ReLEx CLEAR
- การผ่าตัดอื่นๆ อาทิ ผ่าตัดรักษาเปลือกตาและเบ้าตา
ภาวะการเจ็บป่วย:
ต้อกระจก
ต้อกระจกคืออะไร
ต้อกระจกคือภาวะที่ผู้ป่วยมีกระจกตาที่ขุ่นมัว จากเดิมที่จะมีลักษณะใส โดยมักเป็นเมื่ออายุมากขึ้นโดยเฉพาะหลังอายุ 40 ปีทุกคน ทั้งนี้เมื่อผู้ป่วยมีภาวะดังกล่าว การทำกิจกรรมต่างๆเช่นการอ่าน การขับรถหรือแม้แต่การมองเห็นใบหน้าและการแสดงออกทางสีหน้าของอีกบุคคลหนึ่งจะทำได้ยากขึ้นซึ่งส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตในที่สุด โรคต้อกระจกมีหลายชนิด จำเป็นต้องให้จักษุแพทย์ตรวจโดยละเอียดเพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสม
เมื่อไหร่ควรพบแพทย์
- มองไกลไม่ค่อยชัด สายตาสั้นมากขึ้น จนต้องเปลี่ยนแว่นบ่อย
- มองไม่ชัดเมื่ออยู่ในที่แสงจ้า
- ตาข้างใดข้างหนึ่งอาจเห็นภาพซ้อน
- มองเห็นสีเปลี่ยนไปจากเดิม โดยเฉพาะสีเหลือง
ปัจจัยเสี่ยง
- สูบบุหรี่
- การสัมผัสกับแสงแดดหรือแสงอัลตราไวโอเลต (แสงยูวี) เป็นประจำ
- เป็นเบาหวาน
- การใช้ยาสเตียรอยด์ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน
- มีประวัติอุบัติเหตุรุนแรงที่ตามาก่อน
อาการแสดง
อาการของโรคต้อกระจกจะสังเกตุได้ค่อนข้างชัดเจนจากการมองเห็นที่เปลี่ยนไป:
- ภาพขุ่นมัว เบลอ มืดกว่าปกติ
- เห็นวงแหวนรอบไฟ
- ไวต่อแสง
- เห็นภาพซ้อน
- มองกลางคืนไม่ชัด
- จำเป็นต้องใช้แสงสว่างมากขึ้นในการอ่าน
- การมองเห็นสีที่เปลี่ยนไป เช่น สีซีดหรือเหลืองขึ้น
ต้อลม (Pinguecula) และต้อเนื้อ (Pterygium)
ต้อลม (Pinguecula) และต้อเนื้อ (Pterygium) คืออะไร
ต้อลม (Pinguecula) และต้อเนื้อ (Pterygium) เป็นเนื้อนูนที่เยื่อตาขาวข้างกระจกตาดำ ถ้าอยู่เฉพาะที่เยื่อบุตาขาว (Conjunctiva) เรียกว่า ต้อลม (Pinguecula) แต่หากรุกล้ำเข้ามาในกระจกตาดำ (Cornea) เรียกว่า ต้อเนื้อ (Pterygium) โดยต้อเนื้อจะมีลักษณะเห็นเป็นเนื้อสามเหลี่ยมโดยมีหัวอยู่ที่กระจกตา เนื้อเยื่อเหมือนเยื่อบุตาซึ่งมีเส้นเลือดวิ่งเข้าไปเกาะอยู่บนกระจกตาดำ อาจใหญ่หรือเล็กก็ได้ จะแดงมากน้อยขึ้นอยู่กับมีปริมาณเส้นเลือดมากหรือน้อย ทั้งต้อลมและต้อเนื้อส่วนใหญ่อยู่ที่บริเวณหัวตาด้านในใกล้จมูก แต่อาจจะเป็นได้ทั้งด้านหัวตาและหางตาพร้อมกัน
ปัจจัยเสี่ยง
- การได้รับแสง UV จากแสงอาทิตย์อย่างต่อเนื่อง
- ตาแห้งและระคายเคืองเรื้อรัง
อาการแสดง
ต้อลม
- เนื้อนูนสีขาวหรือเหลืองในเยื่อบุตาขาว
- ตาแห้ง
- ตาแดง
ต้อเนื้อ
- เนื้อนูนลักษณะสามเหลี่ยมยื่นเข้าไปที่กระจกตา
- ระคายเคืองตา
- ตาแดง
- รู้สึกเหมือนมีสิ่งแปลกปลอมอยู่ในตา
- อาการที่รุนแรงขึ้นอาจพบว่าต้อเนื้อทีขนาดใหญ่ขึ้นและตาพร่ามัวหรือเห็นภาพซ้อน
การรักษา
การรักษาโรคต้อลมและต้อเนื้อขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค หากโรคยังไม่รุนแรงคือต้อมีขนาดเล็ก ผู้ป่วยไม่รู้สึกระคายเคืองและการมองเห็นยังเป็นปกติ การรักษาโรคในระยะนี้ แนะนำให้ป้องกันไม่ให้เป็นมากขึ้น โดยปกป้องดวงตาจากรังสีอัลตราไวโอเลตอย่างเคร่งครัด ด้วยการสวมแว่นกันแดดอย่างสม่ำเสมอเพื่อไม่ให้ต้อเติบโตลุกลามมากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม หากเกิดการอักเสบ แพทย์จะแนะนำให้ใช้ยาหยอดตาเพื่อบรรเทาอาการระคายเคือง และอาการอื่นๆ จากการอักเสบ
ในกรณีของต้อเนื้อที่มีการลุกลามเข้าไปบนกระจกตามาก มีขนาดใหญ่และอักเสบเรื้อรัง จักษุแพทย์อาจแนะนำให้รักษาด้วย การผ่าตัดลอกต้อเนื้อ เพื่อลอกเอาเนื้อเยื่อต้อเนื้อออกจากเยื่อตาและผิวกระจกตา ซึ่งโดยทั่วไปเป็นการผ่าตัดแบบผู้ป่วยนอก ใช้เวลาเพียงประมาณ 30 นาที หลังการผ่าตัดแพทย์จะให้ผู้ป่วยนอนพักฟื้นที่โรงพยาบาลราว 3-6 ชั่วโมงแล้วแต่กรณี จากนั้นจึงกลับบ้านได้
ทั้งนี้ ต้อเนื้อเป็นโรคที่มีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำสูงโดยเฉพาะในผู้ป่วยที่อายุน้อย และผู้ที่ยังคงได้รับรังสีอัลตราไวโอเลตอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น เพื่อป้องกันการเกิดต้อเนื้อซ้ำแพทย์อาจผ่าตัดด้วยวิธีปลูกถ่ายเนื้อเยื่อใหม่โดยใช้เยื่อบุตาขาวของผู้ป่วยเอง เยื่อรกจากสภากาชาดไทย เพื่อลดโอกาสการกลับมาเป็นซ้ำอีก
เมื่อไหร่ควรพบแพทย์
If you notice any change in vision or think you might have pinguecula or pterygium, make an appointment to your Ophthalmologist to confirm diagnosis whether it requires just monitoring, symptomatic treatment with medication, or surgical treatment.
หากท่านพบความเปลี่ยนแปลงในการมองเห็นหรือคิดว่ามีอาการเข้าได้กับต้อลมหรือต้อเนื้อ ควรนัดหมายจักษุแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยว่าเป็นต้อหรือไม่และควรแค่ติดตามอาหาร รักษาตามอาการด้วยการใช้ยา หรือควรรับการผ่าตัด
ภาวะหนังตาตก
ภาวะหนังตาตกคืออะไร
ภาวะหนังตาตก หรือหนังตาหย่อน เป็นความผิดปกติของเปลือกตาที่พบได้บ่อย โดยปกติแล้วหนังตาบนจะต้องคลุมตาดำไม่เกิน 2 มิลลิเมตร โดยสังเกตได้จากขณะลืมตาตามปกติขอบล่างของเปลือกตาบนจะอยู่ปิดตาดำส่วนบนเพียงเล็กน้อย โดยไม่ต้องอาศัยการเลิกคิ้วหรือย่นหน้าผากช่วย ภาวะหนังตาตก อาจพบในตาข้างเดียวหรือทั้งสองข้าง กรณีที่เป็นทั้งสองข้าง ผู้ป่วยจะดูคล้ายคนง่วงนอน
อาการของภาวะหนังตาตก
โดยทั่วไปภาวะหนังตาตกไม่มีอาการเจ็บปวด แต่จะส่งผลต่อคุณภาพชีวิตในแง่ที่ว่าผู้ป่วยจะมีการมองเห็นลดลงเนื่องจากเปลือกตาบนตกลงมาต่ำกว่าปกติ ภาวะหนังตาตกอาจเกิดทีละข้างหรือพร้อมกัน 2 ข้าง
ผู้ป่วยอาจลองสังเกตอาการของตนเองได้ โดยพิจารณาดวงตาของตนเองในกระจก กรณีปกติจะมองเห็นรูม่านตาได้อย่างชัดเจนและมองเห็นตาดำได้ทั้งหมด แต่หากมีภาวะหนังตาตก จะมองเห็นดวงตาเล็กกว่าปกติและเห็นตาดำเพียงครึ่งเดียว
หากเป็นภาวะหนังตาตกจากโรคที่มีความรุนแรง อาทิ โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (Myasthenia gravis) อาจพบอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น มองเห็นภาพซ้อน แขนหรือขาอ่อนแรง พูด หายใจหรือกลืนลำบาก
ภาวะหนังตาตกในเด็ก อาจทำให้เกิดโรคตาขี้เกียจ (Amblyopia) ถ้าหนังตาตกลงมาปิดมาก อาจปิดกั้นการมองเห็นหรือทำให้มองเห็นได้ไม่ชัด หรือตาเหล่ ซึ่งอาจผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของดวงตา
ภาวะหนังตาตก แบ่งตามสาเหตุได้ดังนี้
- ภาวะหนังตาตกตั้งแต่กำเนิด อาจเกิด จากกรรมพันธุ์ หรือจากความผิดปกติระหว่างต้ังครรภ์
- ภาวะหนังตาตกจากเอ็นของกล้ามเนื้อที่ยกเปลือกงตาหย่อนหรือหลุดจากที่เกาะ ทำให้กล้ามเนื้อหนังตาไม่แข็งแรง ไขมันส่วนเกินจึงสะสมอยู่ในบริเวณเปลือกตาและใต้ตา ทำให้คิ้วตก หนังตาตก และมีถุงใต้ตา เป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุดของภาวะหนังตาตกในผู้ใหญ่
- ภาวะหนังตาตกจากความผิดปกติของกล้ามเนื้อและระบบประสาท เช่น โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือเส้นประสาทอักเสบ
- ภาวะหนังตาตกจากพฤติกรรมที่ทำให้กล้ามเนื้อตายืดหรือบาดเจ็บ เช่น ภูมิแพ้ทางตา ขยี้ตาบ่อย ใส่คอนแทคเลนส์ที่ความโค้งไม่เหมาะสม หรือแพ้คอนแทคเลนส์เนื่องจากทำความสะอาดไม่ดี หรือการใส่คอนแทคเลนส์มานาน
- ภาวะหนังตาตกจากการผ่าตัดดวงตาหรือทำศัลยกรรมรอบดวงตาที่ไปกระทบกล้ามเนื้อในการเปิดตา
การรักษาภาวะหนังตาตก
การรักษาภาวะหนังตาตกในกรณีที่ทำให้ปิดกั้นการมองเห็นหรือส่งผลกระทบต่อรูปลักษณ์ภายนอก โดยส่วนใหญ่จะแก้ไข้ด้วยการศัลยกรรมเปลือกตา ซึ่งจะจัดการปัญหาด้วยการผ่าตัดยกเปลือกตา และขั้นตอนการผ่าตัดจะใช้เพียงยาชาเฉพาะจุดเท่านั้น
ส่วนเด็กแรกเกิดที่มีอาการหนังตาตกรุนแรง แพทย์อาจแนะนำให้ผ่าตัดแก้ไขทันทีเพราะหากได้รับการรักษาอย่างรวดเร็วจะช่วยลดความเสี่ยงและความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นในการมองเห็นอย่างถาวร ในรายที่อาการไม่รุนแรงหรือประเมินแล้วว่าไม่กระทบกับการมองเห็นแพทย์อาจแนะนำให้รอจนเด็กมีอายุ 3-5 ปี จึงจะรักษา
ในรายหนังตาตกที่มีสาเหตุมากจากโรคกล้ามเนื้อ หรือระบบประสาทหรือมีปัญหาบริเวณดวงตา แพทย์จะรักษาโรคหรือความเจ็บป่วยนั้นๆ ก่อน บางรายจะเป็นการรักษาให้หนังตาตกดีขึ้นหรือช่วยไม่ให้อาการแย่ลง
การรักษาภาวะหนังตาตกด้วยการศัลยกรรมเปลือกตา
ภาวะหนังตาตกนอกจากลดประสิทธิภาพในการมองเห็นแล้ว ยังทำให้ดูมีอายุและหน้าตาไม่สดใส กลายเป็นความกังวลของหลายๆ คน การผ่าตัดตกแต่งเปลือกตาจึงเป็นทางเลือกที่ดีในการแก้ไขภาวะหนังตาตก รวมทั้งเพิ่มความสดใสให้ใบหน้าในภาพรวม
การรักษาโดยการศัลยกรรมเปลือกตาเพื่อแก้ไขภาวะหนังตาตกนั้น แพทย์จะผ่าตัดเปลือกตาเพื่อปรับตำแหน่งการยึดเกาะ หรือเพิ่มแรงยกของพังผืดกล้ามเนื้อยกเปลือกตาที่เลื่อนหลุด และหรือยืดหย่อน โดยอาจทำร่วมกับการผ่าตัดบางส่วนของผิวหนังเปลือกตาที่หย่อนคล้อย ซึ่งบดบังการมองเห็นอยู่ออกไป หรือการยกกระชับพังผืดชั้นลึกของใบหน้าโดยเฉพาะบริเวณคิ้ว
อย่างไรก็ตาม การรักษาภาวะหนังตาตกด้วยการศัลยกรรมเปลือกตาอยู่ในดุลยพินิจของแพทย์ผู้ทำการผ่าตัด ปรึกษาแพทย์ของคุณเพื่อทำความเข้าใจสาเหตุ ตรวจวินิจฉัย พิจารณาทางเลือก และผลลัพธ์ที่คาดหวังจากการผ่าตัดเพื่อประกอบการตัดสินใจ
เมื่อไรจึงควรไปพบแพทย์
โดยทั่วไป แม้ภาวะหนังตาตกจะไม่ได้มีอาการรุนแรง แต่ก็ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวันพอสมควร ทั้งในเรื่องของการบดบังการมองเห็น และความมั่นใจในรูปลักษณ์ ซึ่งแพทย์จะพิจารณาให้คำแนะนำอย่างเหมาะสมตามความคาดหวังของผู้ป่วยอย่างไรก็ตาม หากพบว่ามีอาการต่อไปนี้ร่วมกับภาวะหนังตาตาก ควรไปพบแพทย์ทันที
- มีอาการหนังตาตกกะทันหัน โดยเกิดขึ้นเป็นเวลา 2-3 วัน หรือ 2-3 ชั่วโมง
- มีอาการปวดศีรษะรุนแรง เห็นภาพซ้อน กล้ามเนื้อใบหน้าอ่อนแรง แขนหรือขาอ่อนแรง พูดหรือกลืนลำบาก
- ตาอักเสบ ระคายเคือง รวมไปถึง ตาเจ็บและแดง หรือกลอกตาลำบาก
ต้อหิน (Glaucoma)
ต้อหินคืออะไร?
ต้อหิน (Glaucoma) เป็นกลุ่มโรคที่มีการเสื่อมของขั้วประสาทตา ส่งผลให้เกิดการสูญเสียการมองเห็น ซึ่งเกี่ยวข้องกับการที่มีความดันตาที่สูง และเป็นสาเหตุสำคัญของภาวะตาบอดที่เกิดขึ้นทั่วโลก ทั้งนี้ต้อหินมีหลายชนิดจึงควรพบจักษุแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยอย่างถูกต้อง
ปัจจัยเสี่ยง
- เชื้อชาติ คนเชื้อชาติแอฟริกันอเมริกันจะพบต้อหินสูงกว่าคนผิวขาวถึง 6-8 เท่า ส่วนคนเชื้อชาติเอเชียจะมีความเสี่ยงต่อการเกิดต้อหินมุมปิด
- อายุมากกว่า 40 ปี
- มีประวัติครอบครัวเป็นต้อหิน
- ตรวจพบความดันตาสูง
- เคยมีอุบัติเหตุเกี่ยวกับดวงตา
- การใช้ยาสเตียรอยด์
- ปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ อาทิ สายตายาวหรือสั้นมาก กระจกตาบาง โรคเบาหวาน ไมเกรน
อาการแสดง
ส่วนใหญ่แล้ว อาการโรคต้อหิน มักไม่สามารถสังเกตได้เอง หรือมีสัญญาณเตือนให้ผู้ป่วยรู้ล่วงหน้า ซึ่งอาการของโรคต้อหิน จะมีอาการแตกต่างกันทั้งนี้ขึ้นอยู่กับชนิดของต้อหิน โดยทั่วไปแล้วต้อหิน จะแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่ ต้อหินมุมเปิด (Open-Angle Glaucoma) และ ต้อหินมุมปิด (Angle-Closure Glaucoma)
- ต้อหินมุมเปิด เป็นต้อหินที่พบได้บ่อยที่สุด ส่วนมากมักไม่แสดงอาการในระยะแรก เส้นประสาทตาจะค่อยๆ เสียไป ผู้ป่วยจะค่อยๆ สูญเสียการมองเห็นอย่างช้าๆ ตามัวลงเล็กน้อยคล้ายมีหมอกมาบังทางด้านข้าง ซึ่งอาจใช้ระยะเวลานานหลายปีกว่าจะสูญเสียการมองเห็น หรือตาบอดในที่สุด
- ต้อหินมุมปิด พบได้น้อยกว่าต้อหินมุมเปิด อาการขึ้นอย่างฉับพลัน ผู้ป่วยอาจมีอาการปวดตา ตาแดง เห็นแสงรุ้งรอบดวงไฟ และอาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียนร่วมด้วย ต้อหินชนิดนี้มีโอกาสรักษาหายขาดได้ หากผู้ป่วยมาปรึกษาจักษุแพทย์อย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้แล้วยังมี ต้อหินแต่กำเนิด มักเกิดในทารกแรกเกิดหรือเด็ก และ ต้อหินชนิดแทรกซ้อน ซึ่งเกิดจากภาวะแทรกซ้อนจากความผิดปกติทางตา หรือเกิดจากโรคตาอื่นๆ
การรักษา
ต้อหิน รักษาได้เพียงการลดความดันลูกตาเท่านั้น โดยการทำให้น้ำในลูกตาระบายออกได้ตามปกติ เพราะขั้วประสาทตาที่เสียไปแล้ว หรือค่อยๆเสียด้วยสาเหตุบางอย่างที่ไม่ใช้ความดันลูกตาสูง ไม่สามารถรักษาหรือแก้ไขให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีก
การรักษาโรคต้อหินโดยการลดความดันลูกตา สามารถทำได้ 3 วิธี ได้แก่
- การใช้ยารักษาต้อหิน ยารักษาต้อหินจะอยู่ในรูปของยาหยอดตา ยาหยอดตารักษาต้อหินจะช่วยลดการสร้างน้ำในลูกตา หรือช่วยให้น้ำในลูกตาระบายออกได้ดีขึ้น เพื่อลดความดันในลูกตา
- การรักษาต้อหินด้วยเลเซอร์ การรักษาต้อหินด้วยเลเซอร์นั้น มีผลในการควบคุมความดันลูกตา และช่วยให้ดวงตาระบายน้ำออกได้ดีขึ้น แพทย์จะให้ใช้การรักษาด้วยเลเซอร์ก็ต่อเมื่อการรักษาด้วยการหยอดยาอย่างเดียวไม่ได้ผล
หากการรักษาด้วยเลเซอร์ไม่ได้ผล แพทย์จะแนะนำให้ผ่าตัดเป็นวิธีสุดท้าย - การผ่าตัดรักษาต้อหินสามารถทำได้สองวิธี วิธีแรกเป็นการผ่าตัดเพื่อทำทางระบายน้ำ ให้น้ำระบายออกจากลูกตาได้ดีขึ้น หากหลังผ่าตัดแล้วน้ำยังคงระบายออกได้ไม่ดี ความดันในลูกตาไม่ลดลง แพทย์จะใช้การผ่าตัดอีกวิธีหนึ่งเป็นการผ่าตัดทำทางระบายน้ำโดยการสอดท่อเล็กๆเพื่อระบายน้ำออกจากลูกตา ทำให้ความดันในลูกตาลดลง เป็นการควบคุมความดันในลูกตานั่นเอง
เมื่อไหร่ควรพบแพทย์
หากท่านมีอาการตามัว เห็นแสงรอบไฟ ไวต่อแสง สูญเสียการมองเห็น ควรนัดจักษุแพทย์เพื่อตรวจรักษาให้ไวที่สุดหรือหากมีอาการที่เกิดกระทันหันเช่นปวดหัวและปวดตาอย่างรุนแรง ท่านอาจเป็นต้อหินมุมปิดซึ่งต้องทำการรักษาทันที ให้ท่านติดต่อที่แผนกฉุกเฉินหรือจักษุแพทย์โดยทันที
โรคศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อมจากอายุ
โรคศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อมจากอายุ Age-related Macular Degeneration (AMD) คืออะไร
โรคศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อม เป็นโรคที่เกิดความผิดปกติบริเวณจุดศูนย์กลางการรับภาพของจอประสาทตา
ทำให้สูญเสียการมองเห็นเฉพาะภาพตรงกลาง โดยที่ภาพด้านข้างของการมองเห็นยังดีอยู่ พบมากในผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป ซึ่งโรคนี้เป็นภาวะที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ จะทำให้การมองเห็นลดลงจนอาจทำให้ตาบอดได้อย่างรวดเร็วภายใน 2 ปี หากไม่ได้รับการรักษา และหากพบว่าเป็นโรคนี้ในตาข้างหนึ่งข้างใดแล้ว จะมีความเสี่ยงสูงมากกว่า40% ที่จะเกิดกับตาอีกข้างหนึ่งภายในระยะเวลา 5 ปี หลังจากที่เคยเป็นในตาข้างแรกแล้ว
ปัจจัยเสี่ยง
- อายุ สามารถพบได้ในคนที่มีอายุมากกว่า 50 ปี ขึ้นไป
- พันธุกรรม ผู้ที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคนี้ ควรได้รับการตรวจเช็คจอประสาทตาทุก 1 ปี
- เชื้อชาติและเพศ พบโรคนี้ได้มากในคนต่างชาติ ยุโรป, อเมริกา และเพศหญิงที่มีอายุมากกว่า 60 ปี
- การสูบบุหรี่ เพิ่มโอกาสที่จะเป็นโรคนี้ถึง 4 เท่า เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่สูบบุหรี่
- ภาวะความดันโลหิตสูง ผู้ป่วยที่ต้องรับประทานยาลดความดันโลหิตและมีระดับคลอเลสเตอรอลในเลือดสูง
ระดับแคโรทีนอยด์ในเลือดต่ำ มีความเสี่ยงสูงมากต่อการเป็นโรคศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อมแบบเปียก (Wet AMD) - วัยหมดประจำเดือน ผู้หญิงที่เข้าสู่วัยหมดประจำเดือนและไม่ได้รับประทานฮอร์โมนเอสโตรเจน มักมีความเสี่ยงสูงในการเป็นโรคนี้
อาการแสดง
โรคศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อมแบ่งออกเป็นสองชนิดโดยอาการจะแตกต่างกันดังนี้
- แบบแห้ง (Dry AMD)เป็นชนิดที่พบมากที่สุด เกิดจากการเสื่อมและบางตัวลงของจุดศูนย์กลางการรับภาพของจอประสาทตา (Macular) จากกระบวนการเสื่อมตามอายุ อาการเริ่มต้นของโรคศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อมแบบแห้ง คือ การมองเห็นภาพเบลอ ให้มองเห็นหน้าคนไม่ชัดเจน เป็นผลให้จำหน้าบุคคลไม่ได้ หรือต้องใช้แสงสว่างมากขึ้นในการทำกิจกรรมต่างๆ หรือผู้ป่วยบางคนอาจมีอาการเริ่มจากตามัวเพียงเล็กน้อย แต่เมื่อเวลาผ่านไปความสามารถในการมองเห็นจะค่อยๆ ลดลงและเป็นไปอย่างช้าๆ
- แบบเปียก (Wet AMD) พบประมาณ 10 – 15 % ของโรคจอประสาทตาเสื่อมทั้งหมด แต่จะสูญเสียการมองเห็นอย่างรวดเร็วและเป็นสาเหตุสำคัญของอาการตาบอดในโรคศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อม เกิดจากมีหลอดเลือดผิดปกติงอกอยู่ใต้จอประสาทตาทำให้เลือดและของเหลวที่อยู่ภายในไหลซึมออกมา เป็นผลให้จุดศูนย์กลางการรับภาพบวม ผู้ป่วยจะเริ่มมองเห็นภาพตรงกลางบิดเบี้ยว และเมื่อเซลล์ประสาทตาตาย ผู้ป่วยจะสูญเสียการมองเห็นในที่สุด อาการเริ่มต้นของโรคศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อมแบบเปียก คือ เริ่มเห็นเส้นตรงกลายเป็นเส้นโค้งบิดเบี้ยว เห็นภาพสีซีดจางกว่าปกติ และอาจเห็นจุดมืดดำที่ตรงกลางภาพ
การรักษา
ปัจจุบันยังไม่มีวิธีการรักษาโรคศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อมชนิดแห้งให้หายขาด ทำได้เพียงชะลอการเกิดโรคเท่านั้นคือ การตรวจสุขภาพตากับจักษุแพทย์เป็นประจำ รวมถึงควบคุมปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดการเสื่อมของจุดศูนย์กลางการรับภาพของจอประสาทตา ส่วนการรักษาโรคศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อม ชนิดเปียก ทำได้โดย
- การฉายแสงเลเซอร์ที่ทำให้เกิดความร้อนลงบนจอประสาทตา (Laser Photocoagulation) เพื่อยับยั้งหรือชะลอเส้นเลือดผิดปกติที่ทำให้เกิดเลือดออกใต้จอประสาทตาได้ ส่วนของจอประสาทตาที่โดนแสงเลเซอร์ชนิดนี้จะถูกความร้อนทำลายไปด้วย ทำให้เกิดจุดมืดดำอย่างถาวร การมองเห็นจะลดลงทันทีหลังการรักษาซึ่งการรักษาวิธีนี้ ใช้ได้กับผู้ป่วยที่มีความผิดปกติของโรคอยู่ห่างจากศูนย์กลางจอประสาทตาพอสมควร
- การฉายแสดงเลเซอร์ที่ไม่ทำให้เกิดความร้อนภายหลัง ร่วมกับการให้ยาเข้าทางเส้นเลือด (Photodynamic Therapy : PDT) โดยจะให้ยาเข้าทางเส้นเลือดผ่านไปตามระบบไหลเวียนโลหิต และจับกับเซลล์ที่มีการแบ่งตัวที่ผนังหลอดเลือดที่ผิดปกติใต้จอประสาทตา จากนั้นจึงฉายแสงไปช่วยกระตุ้นให้ยาทำลายหลอดเลือดที่ผิดปกติ โดยไม่มีผลกระทบกับจอประสาทตาบริเวณนั้น ซึ่งผู้ป่วยยังคงสามารถมองเห็นได้เหมือนก่อนการฉายแสงเลเซอร์ ในบางรายที่อาการของโรคยังไม่รุนแรงการมองเห็นที่ลดลงก่อนการรักษาอาจกลับคืนมาใกล้เคียงกับปกติได้
- การฉีดยากลุ่ม (Anti-Vascular Endothelial Growth Factor : Anti-VEGF) เข้าไปในน้ำวุ้นตาเพื่อทำให้เส้นเลือดที่งอกผิดปกติฝ่อไป ต้องฉีดอย่างน้อย 3 ครั้ง ทุก 1 เดือน และอาจต้องฉีดทุก 2 – 3 เดือนในระยะต่อมา
- การผ่าตัด ทำในกรณีที่มีเลือดออกใต้ศูนย์กลางรับภาพ โดยการฉีดยาเข้าไปเพื่อทำให้เลือดที่แข็งตัวละลาย และฉีดแก๊สเข้าไปรีดเลือดให้ขยับออกจากศูนย์กลางจอรับภาพ
เมื่อไหร่ควรพบแพทย์
หากท่านพบการเปลี่ยนแปลงต่อการมองเห็นโดยเฉพาะภาพตรงกลางและมองเห็นสีที่เปลี่ยนไป ควรนัดหมายจักษุแพทย์เพื่อรับการรักษาให้เร็วที่สุด
การรักษา:
การรักษา ต้อกระจก
การรักษา ต้อกระจก
หากอาการไม่มากอาจแค่ตัดแว่นตามที่จักษุแพทย์สั่ง หากอาการเป็นมากขึ้นการรักษาหลักของต้อกระจกคือการผ่าตัดซึ่งการผ่าตัดต้อกระจกจะทำแบบผู้ป่วยนอก ใช้เวลาไม่นาน โดยการผ่าตัดดังกล่าวอาจปรึกษาแพทย์และประเมินตนเองว่าจะรับการรักษาหรือไม่และช่วงเวลาไหน โดยหลักการจะรักษาเมื่อมีอาการที่รบกวนการใช้ชีวิตประจำวันของผู้ป่วยและผู้ป่วยมีความพร้อม
การรักษา ต้อหิน (Glaucoma)
การรักษา ต้อหิน (Glaucoma)
ต้อหิน รักษาได้เพียงการลดความดันลูกตาเท่านั้น โดยการทำให้น้ำในลูกตาระบายออกได้ตามปกติ เพราะขั้วประสาทตาที่เสียไปแล้ว หรือค่อยๆเสียด้วยสาเหตุบางอย่างที่ไม่ใช้ความดันลูกตาสูง ไม่สามารถรักษาหรือแก้ไขให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีก
การรักษาโรคต้อหินโดยการลดความดันลูกตา สามารถทำได้ 3 วิธี ได้แก่
- การใช้ยารักษาต้อหิน ยารักษาต้อหินจะอยู่ในรูปของยาหยอดตา ยาหยอดตารักษาต้อหินจะช่วยลดการสร้างน้ำในลูกตา หรือช่วยให้น้ำในลูกตาระบายออกได้ดีขึ้น เพื่อลดความดันในลูกตา
- การรักษาต้อหินด้วยเลเซอร์ การรักษาต้อหินด้วยเลเซอร์นั้น มีผลในการควบคุมความดันลูกตา และช่วยให้ดวงตาระบายน้ำออกได้ดีขึ้น แพทย์จะให้ใช้การรักษาด้วยเลเซอร์ก็ต่อเมื่อการรักษาด้วยการหยอดยาอย่างเดียวไม่ได้ผล
หากการรักษาด้วยเลเซอร์ไม่ได้ผล แพทย์จะแนะนำให้ผ่าตัดเป็นวิธีสุดท้าย - การผ่าตัดรักษาต้อหินสามารถทำได้สองวิธี วิธีแรกเป็นการผ่าตัดเพื่อทำทางระบายน้ำ ให้น้ำระบายออกจากลูกตาได้ดีขึ้น หากหลังผ่าตัดแล้วน้ำยังคงระบายออกได้ไม่ดี ความดันในลูกตาไม่ลดลง แพทย์จะใช้การผ่าตัดอีกวิธีหนึ่งเป็นการผ่าตัดทำทางระบายน้ำโดยการสอดท่อเล็กๆเพื่อระบายน้ำออกจากลูกตา ทำให้ความดันในลูกตาลดลง เป็นการควบคุมความดันในลูกตานั่นเอง
การรักษา ภาวะหนังตาตก (Ptosis, blepharoptosis, drooping eyelid)
การรักษา ภาวะหนังตาตก (Ptosis, blepharoptosis, drooping eyelid)
การรักษาภาวะหนังตาตกในกรณีที่ทำให้ปิดกั้นการมองเห็นหรือส่งผลกระทบต่อรูปลักษณ์ภายนอก โดยส่วนใหญ่จะแก้ไข้ด้วยการศัลยกรรมเปลือกตา ซึ่งจะจัดการปัญหาด้วยการผ่าตัดยกเปลือกตา และขั้นตอนการผ่าตัดจะใช้เพียงยาชาเฉพาะจุดเท่านั้น
ส่วนเด็กแรกเกิดที่มีอาการหนังตาตกรุนแรง แพทย์อาจแนะนำให้ผ่าตัดแก้ไขทันทีเพราะหากได้รับการรักษาอย่างรวดเร็วจะช่วยลดความเสี่ยงและความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นในการมองเห็นอย่างถาวร ในรายที่อาการไม่รุนแรงหรือประเมินแล้วว่าไม่กระทบกับการมองเห็นแพทย์อาจแนะนำให้รอจนเด็กมีอายุ 3-5 ปี จึงจะรักษา
ในรายหนังตาตกที่มีสาเหตุมากจากโรคกล้ามเนื้อ หรือระบบประสาทหรือมีปัญหาบริเวณดวงตา แพทย์จะรักษาโรคหรือความเจ็บป่วยนั้นๆ ก่อน บางรายจะเป็นการรักษาให้หนังตาตกดีขึ้นหรือช่วยไม่ให้อาการแย่ลง
การรักษาภาวะหนังตาตกด้วยการศัลยกรรมเปลือกตา
ภาวะหนังตาตกนอกจากลดประสิทธิภาพในการมองเห็นแล้ว ยังทำให้ดูมีอายุและหน้าตาไม่สดใส กลายเป็นความกังวลของหลายๆ คน การผ่าตัดตกแต่งเปลือกตาจึงเป็นทางเลือกที่ดีในการแก้ไขภาวะหนังตาตก รวมทั้งเพิ่มความสดใสให้ใบหน้าในภาพรวม
การรักษาโดยการศัลยกรรมเปลือกตาเพื่อแก้ไขภาวะหนังตาตกนั้น แพทย์จะผ่าตัดเปลือกตาเพื่อปรับตำแหน่งการยึดเกาะ หรือเพิ่มแรงยกของพังผืดกล้ามเนื้อยกเปลือกตาที่เลื่อนหลุด และหรือยืดหย่อน โดยอาจทำร่วมกับการผ่าตัดบางส่วนของผิวหนังเปลือกตาที่หย่อนคล้อย ซึ่งบดบังการมองเห็นอยู่ออกไป หรือการยกกระชับพังผืดชั้นลึกของใบหน้าโดยเฉพาะบริเวณคิ้ว
อย่างไรก็ตาม การรักษาภาวะหนังตาตกด้วยการศัลยกรรมเปลือกตาอยู่ในดุลยพินิจของแพทย์ผู้ทำการผ่าตัด ปรึกษาแพทย์ของคุณเพื่อทำความเข้าใจสาเหตุ ตรวจวินิจฉัย พิจารณาทางเลือก และผลลัพธ์ที่คาดหวังจากการผ่าตัดเพื่อประกอบการตัดสินใจ
การรักษา ต้อลม (Pinguecula) และต้อเนื้อ (Pterygium)
การรักษา ต้อลม (Pinguecula) และต้อเนื้อ (Pterygium)
การรักษาโรคต้อลมและต้อเนื้อขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค หากโรคยังไม่รุนแรงคือต้อมีขนาดเล็ก ผู้ป่วยไม่รู้สึกระคายเคืองและการมองเห็นยังเป็นปกติ การรักษาโรคในระยะนี้ แนะนำให้ป้องกันไม่ให้เป็นมากขึ้น โดยปกป้องดวงตาจากรังสีอัลตราไวโอเลตอย่างเคร่งครัด ด้วยการสวมแว่นกันแดดอย่างสม่ำเสมอเพื่อไม่ให้ต้อเติบโตลุกลามมากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม หากเกิดการอักเสบ แพทย์จะแนะนำให้ใช้ยาหยอดตาเพื่อบรรเทาอาการระคายเคือง และอาการอื่นๆ จากการอักเสบ
ในกรณีของต้อเนื้อที่มีการลุกลามเข้าไปบนกระจกตามาก มีขนาดใหญ่และอักเสบเรื้อรัง จักษุแพทย์อาจแนะนำให้รักษาด้วย การผ่าตัดลอกต้อเนื้อ เพื่อลอกเอาเนื้อเยื่อต้อเนื้อออกจากเยื่อตาและผิวกระจกตา ซึ่งโดยทั่วไปเป็นการผ่าตัดแบบผู้ป่วยนอก ใช้เวลาเพียงประมาณ 30 นาที หลังการผ่าตัดแพทย์จะให้ผู้ป่วยนอนพักฟื้นที่โรงพยาบาลราว 3-6 ชั่วโมงแล้วแต่กรณี จากนั้นจึงกลับบ้านได้
ทั้งนี้ ต้อเนื้อเป็นโรคที่มีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำสูงโดยเฉพาะในผู้ป่วยที่อายุน้อย และผู้ที่ยังคงได้รับรังสีอัลตราไวโอเลตอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น เพื่อป้องกันการเกิดต้อเนื้อซ้ำแพทย์อาจผ่าตัดด้วยวิธีปลูกถ่ายเนื้อเยื่อใหม่โดยใช้เยื่อบุตาขาวของผู้ป่วยเอง เยื่อรกจากสภากาชาดไทย เพื่อลดโอกาสการกลับมาเป็นซ้ำอีก
การรักษา โรคศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อมจากอายุ Age-related Macular Degeneration (AMD)
ปัจจุบันยังไม่มีวิธีการรักษาโรคศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อมชนิดแห้งให้หายขาด ทำได้เพียงชะลอการเกิดโรคเท่านั้นคือ การตรวจสุขภาพตากับจักษุแพทย์เป็นประจำ รวมถึงควบคุมปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดการเสื่อมของจุดศูนย์กลางการรับภาพของจอประสาทตา ส่วนการรักษาโรคศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อม ชนิดเปียก ทำได้โดย
- การฉายแสงเลเซอร์ที่ทำให้เกิดความร้อนลงบนจอประสาทตา (Laser Photocoagulation) เพื่อยับยั้งหรือชะลอเส้นเลือดผิดปกติที่ทำให้เกิดเลือดออกใต้จอประสาทตาได้ ส่วนของจอประสาทตาที่โดนแสงเลเซอร์ชนิดนี้จะถูกความร้อนทำลายไปด้วย ทำให้เกิดจุดมืดดำอย่างถาวร การมองเห็นจะลดลงทันทีหลังการรักษา ซึ่งการรักษาวิธีนี้ ใช้ได้กับผู้ป่วยที่มีความผิดปกติของโรคอยู่ห่างจากศูนย์กลางจอประสาทตาพอสมควร
- การฉายแสดงเลเซอร์ที่ไม่ทำให้เกิดความร้อนภายหลัง ร่วมกับการให้ยาเข้าทางเส้นเลือด (Photodynamic Therapy : PDT) โดยจะให้ยาเข้าทางเส้นเลือดผ่านไปตามระบบไหลเวียนโลหิต และจับกับเซลล์ที่มีการแบ่งตัวที่ผนังหลอดเลือดที่ผิดปกติใต้จอประสาทตา จากนั้นจึงฉายแสงไปช่วยกระตุ้นให้ยาทำลายหลอดเลือดที่ผิดปกติ โดยไม่มีผลกระทบกับจอประสาทตาบริเวณนั้น ซึ่งผู้ป่วยยังคงสามารถมองเห็นได้เหมือนก่อนการฉายแสงเลเซอร์ ในบางรายที่อาการของโรคยังไม่รุนแรงการมองเห็นที่ลดลงก่อนการรักษาอาจกลับคืนมาใกล้เคียงกับปกติได้
- การฉีดยากลุ่ม (Anti-Vascular Endothelial Growth Factor : Anti-VEGF) เข้าไปในน้ำวุ้นตาเพื่อทำให้เส้นเลือดที่งอกผิดปกติฝ่อไป ต้องฉีดอย่างน้อย 3 ครั้ง ทุก 1 เดือน และอาจต้องฉีดทุก 2 – 3 เดือนในระยะต่อมา
- การผ่าตัด ทำในกรณีที่มีเลือดออกใต้ศูนย์กลางรับภาพ โดยการฉีดยาเข้าไปเพื่อทำให้เลือดที่แข็งตัวละลาย และฉีดแก๊สเข้าไปรีดเลือดให้ขยับออกจากศูนย์กลางจอรับภาพ
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม

เปิดให้บริการทุกวัน เวลา 08:00 – 17:00 น.